คุณสุวัจน์ ลิปตพัลลภ

จากความชอบที่จะเล่นกีฬาตั้งแต่เด็ก และยังเป็นนักกีฬาบาสให้กับโรงเรียนเซนต์คาเบรียล อีกทั้งยังได้รับการปลูกฝังและสนับสนุนจากโรงเรียนมาโดยตลอด นอกจากเรื่องของการศึกษาแล้วนั้น คุณสุวัจน์ ลิปตพัลลภ ยังให้ความสำคัญกับเรื่องของกีฬา เพราะไม่เพียงแต่จะทำให้สุขภาพที่แข็งแรง ยังสอนให้ทุกคนมีสปิริตและรู้จักแพ้รู้จักชนะอีกด้วย

เดิมทีผมเรียนอยู่โรงเรียนอัสสัมชัญธนบุรี สมัยนั้นมีแค่ มส.3 จึงต้องหาที่เรียนต่อ และพอดีว่า
บราเดอร์มาร์ตินเคยเป็นอธิการบดีของอัสสัมชัญธนบุรีก่อนจะมาเป็นอธิการบดีที่เซนต์คาเบรียล ผมรู้จักท่านอยู่และยังจำเหตุการณ์วันที่มาสมัครเรียนได้ วันนั้นมาหาบราเดอร์มาร์ตินที่ตึกแดง ถามว่าจำผมได้ไหม
บราเดอร์บอกทำไมจะจำไม่ได้ เธอเป็นนักบาส เธอเล่นเก่ง ผมก็บอกว่าผมเรียนจบแล้วกำลังหาที่เรียนต่อ มส.4 ท่านก็ให้ความกรุณารับเข้าเรียน เป็นความประทับใจว่าบราเดอร์จำผมได้ เมื่อเข้ามาเซนต์คาเบรียลเลยได้เป็นนักกีฬาบาสให้โรงเรียนด้วย

เซนต์คาเบรียลถือเป็นโรงเรียนแห่งแรกที่มียิมเนเซียมกีฬาผมชอบยิมเนเซียมของโรงเรียนมาก ตอนเป็นนักบาสที่อัสสัมธนบุรี จะเป็นสนามบาสกลางแจ้ง แต่พอมาอยู่เซนต์คาเบรียลสนามบาสอยู่ในยิมเนเซียม มีอัฒจันทร์ให้นั่งดู ถ้าย้อนไปสมัยนั้นโรงเรียนที่มียิมเนเซียมกีฬาหายากนะ คิดว่าเซนต์คาเบรียลน่าจะเป็นโรงเรียนแรกที่มี ซึ่งแสดงให้เห็นว่านอกจากเรื่องวิชาการ โรงเรียนยังให้ความสำคัญกับกีฬาด้วย

นอกจากนี้คุณสุวัจน์ยังเล่าเพิ่มเติมถึงการแข่งขันที่ประทับใจว่าตอนเข้ามาเรียนบราเดอร์ประโยชน์เป็นครูประจำชั้น ตอนที่ผมอยู่อัสสัมธนบุรีท่านเคยพานักเรียนเซนต์คาเบรียลไปแข่งบาส ท่านก็จำผมได้ วันที่เปิดเรียนวันแรกบราเดอร์ก็เดินมาที่โต๊ะเรียนแล้วบอกให้ไปซ้อมบาสด้วยนะ บราเดอร์รู้ว่าเธอเล่นบาสเก่ง ผมก็ไปซ้อมตามที่บราเดอร์สั่ง แต่ผมเป็นคนตัวเล็กมากและโค้ชเขาไม่ได้รู้จักเรามาก่อน ไปซ้อมกี่ครั้งไม่เคยให้ลงสนาม ให้นั่งเฉยๆ ผมเลยไม่ไปซ้อม แล้ววันหนึ่งบราเดอร์มาตรวจดูว่าทำไมผมไม่ไปซ้อม ผมก็เล่าให้ฟัง แต่บราเดอร์บอกว่ายังไงก็ต้องไปซ้อม ต้องมีมีวินัย

จนมาถึงการแข่งขันครั้งที่ผมประทับใจ วันนั้นเซนต์คาเบรียลต้องแข่งกับอัสสัมชัญบางรัก โรงเรียนเรากำลังจะแพ้เหลือเวลาอยู่ 3 นาที ตามหลังอยู่ 3 ลูก พอดีรุ่นพี่กับคนอื่นๆ ที่เขาตัวใหญ่เล่นฟาวล์กันหมด โค้ชไม่รู้จะให้ใครลงสนาม ผมเลยได้ลงเล่นแล้วยิงคนเดียว 5 ลูก จนชนะ เนื่องจากรุ่นพี่ในทีมคนหนึ่งเขาเคยเรียนอัสสัมชัญธนบุรีกับผม เป็นคนเดียวที่รู้ว่าผมชูตแม่น พอเห็นผมลงสนามเลยโยนบอลให้ผมชูตอย่างเดียว พอแข่งเสร็จบราเดอร์ประโยชน์วิ่งมากอด ท่านดีใจ บอกว่าผมทำชื่อเสียงให้กับโรงเรียนมากเลยนะ หลังจากนั้นผมเลยกลายเป็นดารานักบาสของเซนต์คาเบรียล สิ่งเหล่านี้แสดงให้เห็นว่าโรงเรียนให้ความสำคัญกับกีฬา

จนกระทั่งทุกวันนี้ถึงแม้จะมีตำแหน่งหรือไม่มีตำแหน่งผมก็พยายามผลักดันเรื่องกีฬามาโดยตลอด และตอนที่ผมเป็นรองนายกรัฐมนตรีก็ได้ดูแลเรื่องกีฬาด้วย ผมมองว่ากีฬานั้นสอนให้คนเรามีสปิริต รู้จักแพ้รู้จักชนะ มีวินัย อดทน ใจถึงพึ่งได้ มีความเสียสละและรู้จักทีมเวิร์ก ผมคิดว่าคุณสมบัติเหล่านี้เป็นสิ่งที่ชาติบ้านเมืองต้องการ ซึ่งโรงเรียนเซนต์คาเบรียลได้ปลูกฝังผมมาโดยตลอด

จบเซนต์คาเบรียล เปรียบเสมือนเป็นประกาศนียบัตรรับรองความเก่ง ความดี

นอกจากเรื่องของกีฬาแล้ว โรงเรียนยังได้ปลูกฝังเรื่องอื่นๆ ด้วยบราเดอร์จะคอยสอนเสมอให้เป็นคนดี มีวินัย มีความเป็นสุภาพบุรุษ ห้ามไปมีเรื่องกับใคร จึงจะเห็นได้ว่าศิษย์เก่าเซนต์คาเบรียลไม่ว่าจะประสบความสำเร็จในสายอาชีพใด ส่วนใหญ่จะมีคาแรกเตอร์ที่มีความเป็น Gentle Man และอีกสิ่งหนึ่งคือเมื่อเราจบจากเซนต์คาเบรียลไปนั้น เสมือนได้ประกาศนียบัตรที่รับรองความเก่งและความดีของเรา นั่นคือการยอมรับจากสังคม ซึ่งจะเป็นพื้นฐานที่ดีให้เราได้เปรียบและมีโอกาสที่ประสบความสำเร็จ ฉะนั้นนักเรียนเซนต์คาเบรียลทุกคนต้องรักษาสิ่งเหล่านี้ไว้อย่าให้สูญหาย

หลังจากเรียนจบจากเซนต์คาเบรียล คุณสุวัจน์ศึกษาต่อระดับปริญญาตรีด้านวิศวกรรมโยธา ที่มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ และปริญญาโทเกี่ยวกับวิศวกรรมขนส่งด้านโยธา ที่มหาวิทยาลัยเพอร์ดู สหรัฐอเมริกา ก่อนจะกลับมาช่วยคุณพ่อคุณแม่ทำธุจรกิจเกี่ยวกับการก่อสร้างประมาณ 10 ปี และโชคชะตาก็ทำให้คุณสุวัจน์เข้าสู้เส้นทางการทำงานด้านเมืองตั้งแต่นั้นเป็นต้นมา โดยได้รับตำแหน่งรัฐมนตรีว่าการกระทรวงวิทยาศาสตร์เทคโนโลยีและสิ่งแวดล้อม รัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมมาคม รัฐมนตรีว่าการกระทรวงอุตสาหกรรม รัฐมนตรีประจำสำนักนายก รัฐมนตรีว่าการทบวงมหาวิทยาลัย รัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรม และรองนายกรัฐมนตรี

ในช่วงที่ไม่ได้ดำรงตำแหน่ง มีโอกาสได้ไปทำงานเป็นประธานกรรมาธิการการเกษตร เป็นประธานกรรมาธิการการต่างประเทศ และมีความสำคัญอยู่ช่วงหนึ่งในปี 2534 ผมไม่ได้จบมาทางด้านกฎหมาย แต่ตอนนั้นมีการปฏิวัติรัฐธรรมนูญ ผมเป็นหนึ่งในอดีต สส. จำนวน 2 คน ที่ได้รับเลือกเข้าไปมีส่วนร่วม จึงมีประสบการณ์ในการร่างรัฐธรรมนูญเป็นเวลาเกือบ 1 ปี และได้ประกาศใช้ ทำให้ผมได้เห็นภาพต่างๆ ของประเทศ มาถึงวันนี้เรียกได้ว่ามีโอกาสได้ทำงานให้กับประเทศในหลายด้านทั้งเศรษฐกิจ การเมือง กีฬา และกฎหมายคุณสุวัจน์ กล่าวทิ้งท้าย