พลเอกสุรยุทธ์ จุลานนท์

พลเอกสุรยุทธ์ จุลานนท์ ถือเป็นศิษย์เก่าของรั้วน้ำเงิน-ขาว ที่ได้ทำประโยชน์ให้กับประเทศชาติ อีกทั้งยังเคยดำรงตำแหน่งที่สำคัญทั้งด้านการทหารและการเมือง โดยได้รับการแต่งตั้งให้เป็นนายกรัฐมนตรีคนที่ 24 ของประเทศ อีกทั้งยังเคยดำรงตำแหน่งผู้บัญชาการทหารบก ผู้บัญชาการทหารสูงสุด องคมนตรี และปัจจุบันดำรงตำแหน่งเป็นประธานองคมนตรี

“ก่อนจะเข้าเรียนที่เซนต์คาเบรียลในระดับชั้น ป.1 ผมเรียนชั้นมูลที่โรงเรียนเซนต์ฟรังมาก่อน เนื่องจากพี่สาวเรียนอยู่ที่นั่น สะดวกต่อการเดินทางมาเรียนด้วยกัน สมัยนั้นห้องเรียนชั้นประถม 1 เป็นอาคารไม้ชั้นเดียว แต่ปัจจุบันได้รื้อออกไปแล้ว จะอยู่ติดกับป่าช้าวัดญวน แค่เราเปิดหน้าต่างก็สามารถมองเห็น แต่ด้วยความคุ้นเคยที่ผมเดินเข้าออกซอยมิตรคามอยู่เป็นประจำเนื่องจากโรงเรียนเซนต์ฟรังแต่เดิมจะอยู่ด้านใน เมื่อมาเรียนที่เซนต์คาเบรียลจึงไม่รู้สึกแปลกใหม่เท่าไรนัก เพราะอยู่ใกล้กันเพียงแค่ย้ายมาใกล้ถนนใหญ่ ”

พลเอกสุรยุทธ์ เท้าความถึงการเข้ามาเรียนที่โรงเรียนเซนต์คาเบรียล สำหรับความประทับใจนั้น พลเอกสุรยุทธ์ ได้เล่าเพิ่มเติมว่า 

“เมื่อมาเรียนที่เซนต์คาเบรียลทำให้มีเพื่อนมากขึ้น ได้เล่นสนุกสนานกันแบบเด็กผู้ชาย ได้เริ่มเล่นกีฬา เพราะได้เปลี่ยนสิ่งแวดล้อมจากโรงเรียนผู้หญิงมาเป็นโรงเรียนชายล้วน สมัยเด็กๆ ก็ไม่ได้เล่นอะไรมากนัก เตะลูกเทนนิสใต้ตึกซึ่งตอนนั้นด่านล่างอาคารจะเป็นพื้นที่โล่ง เมื่อเตะขึ้นไปบนหลังคาแล้วลูกเทนนิสตกลงมาก็แย่งกัน ซึ่งผมมีเพื่อนที่เรียนที่เดียวกันมาโดยตลอดตั้งแต่อยู่เซนต์ฟรัง จนกระทั่งมาทำงานด้วยกันคือ พลเอกสมชาย อุบลเดชประชารักษ์ ซึ่งมีความสนิทสนมกันมาอย่างยาวนาน”

“การได้รับการปลูกฝังเรื่องกีฬา ทำให้มีเด็กเซนต์คาเบรียลหลายคนเป็นนักกีฬาทีมชาติ ยกตัวอย่างในรุ่นผมคือ ทวีพงษ์ เสนีวงศ์ ณ อยุธยา เป็นนักกีฬาฟุตบอลที่เล่นกองกลางและกองหลังให้กับทีมชาติไทย ในตอนแรกผมไม่ทราบว่าเขาจบจากเซนต์คาเบรียล จนได้ไปเรียนด้วยกันที่สวนกุหลาบ ก็รู้สึกถึงความรักความสามัคคีว่าจบมาจากโรงเรียนเดียวกัน นอกจากนี้เพลงมาร์ชของโรงเรียนยังสะท้อนให้เห็นถึงความสามัคคี การทำงานร่วมกัน และการทำประโยชน์ให้ส่วนรวม ก็ถือเป็นอีกเรื่องหนึ่งที่ได้รับจากโรงเรียนเซนต์คาเบรียล”

นอกจากนี้ท่านยังได้เล่าความประทับใจที่มีต่อมาสเตอร์ว่า 

“ในช่วงตอนเรียนมัธยมปีที่ 1 ได้ย้ายจากอาคารไม้ชั้นเดียวมาเรียนที่ตึกมัธยม ได้เรียนกับมาสเตอร์บุญ ท่านทั้งสอนเก่งและใจดีมาก อีกทั้งยังมาทราบภายหลังว่าท่านทำอาหารเก่ง เรียกได้ว่าเป็นเชฟฝีมือดี ซึ่งท่านเคยชวนผมไปทานข้าวที่บ้านริมแม่น้ำเจ้าพระยา ต้องยอมรับเลยว่าท่านทำอาหารอร่อยมากๆ ครับ ไม่เพียงแต่มาสเตอร์บุญแต่ยังมีท่านอธิการมองก์ฟอร์ด และท่านอธิการจอห์นแม่รี ที่มีความใจดีและยิ้มแย้มแจ่มใส”

เรื่องของภาษาที่โรงเรียนได้ปูพื้นฐานให้นั้นมีความสำคัญ 

“สิ่งที่ได้ประโยชน์มากๆ ที่ได้จากเซนต์คาเบรียลคือภาษาอังกฤษ และเป็นทักษะติดตัวมาจนกระทั่งทุกวันนี้ เพราะโรงเรียนสอนตั้งแต่เด็กๆ ทำให้ได้ซึมซับไปอย่างเป็นธรรมชาติ ด้วยวิธีการสอนแบบเป็น Dialogue หรือ Conversation ในการสร้างประโยคสนทนาต่างๆ ทำให้เรามีความเชื่อมั่นในการใช้ภาษา เมื่อไปเรียนที่สวนกุหลาบคุณครูก็ชมเชยว่า ภาษาอังกฤษดีเยี่ยม”

ในส่วนของการศึกษาต่อและการทำงานนั้น พลเอกสุรยุทธ์ ได้เล่าให้ฟังว่า 

“เมื่อเรียนจบมัธยมปีที่ 3 ผมได้สอบเข้าไปเรียนที่โรงเรียนสวนกุหลาบเพื่อช่วยแบ่งเบาภาระค่าใช้จ่ายของครอบครัว หลังจากนั้นจึงลองสอบเข้าโรงเรียนเตรียมทหาร โดยตอนแรกไม่ได้คิดว่าอยากจะเป็นทหาร แต่ด้วยญาติพี่น้องส่วนใหญ่เป็นทหาร จึงลองสมัครสอบ ตอนนั้นผมอยู่ชั้น ม.6 แต่คนอื่นเขามาสอบกันตอนจบชั้น ม.7 อีกทั้งในปีนั้นยังเป็นปีที่รวมโรงเรียนเตรียมนายร้อย โรงเรียนเตรียมนายเรือ โรงเรียนเตรียมนายเรืออากาศ เข้าไว้ด้วยกันทั้งหมดเป็นโรงเรียนเตรียมทหาร ซึ่งผมก็สอบเข้าได้ แสดงให้เห็นว่าพื้นฐานการศึกษาที่ดีซึ่งได้รับจากโรงเรียนเซนต์คาเบรียลและสวนกุหลาบ”

ความสามัคคีเป็นทัศนคติที่ได้รับการปลูกฝังจากโรงเรียนเซนต์ฯ

“หลังจากนั้นก็เริ่มต้นเข้าสู่ชีวิตกึ่งทหาร ถือเป็นช่วงเวลาที่สนุกสนาน ได้เล่นกีฬามากมายไม่ว่าจะเป็นกรีฑา ฟุตบอล ว่ายน้ำ รักบี้ กระโดดน้ำ เพราะการมีร่างกายที่แข็งแรงถือเป็นส่วนสำคัญของการเป็นทหาร เมื่อจบโรงเรียนนายร้อยผมได้เลือกเหล่าที่อยากผจญภัยคือ เหล่าทหารราบ โดยมีผลคะแนนอยู่ใน Top 10 ของรุ่น จึงสามารถเลือกเรียนที่ไหนก็ได้ จากนั้นก็มีเรื่องให้ต้องตัดสินใจอีกครั้งคือ อาจารย์ที่สอนวิศวกรรมเครื่องกล ท่านมาชักชวนให้ผมไปเป็นอาจารย์ ถ้าสมัครจะได้ทุนการศึกษาต่อระดับปริญญาโทและปริญญาเอก แต่ผมตอบท่านไปว่า ผมเลือกทหารราบ เพราะอยากใช้ชีวิตเป็นทหารมากกว่าเป็นอาจารย์ครับ”

“การตัดสินใจครั้งนั้นยังอยู่ในความทรงจำตลอดมาว่า ถ้าหากเราจะมีอาชีพเป็นวิศวกร คงไม่ใช่เรื่องยากเย็นอะไรนัก แต่เมื่อตัดสินใจเข้ารับราชการทหารแล้ว จึงทำงานด้วยความตั้งใจและทำหน้าที่ที่ได้รับผิดชอบให้ดีที่สุดอย่างเต็มความสามารถ ด้วยความอดทน ทุ่มเท และไม่ท้อถอยซึ่งถือเป็นส่วนหนึ่งที่ทำให้ประสบความสำเร็จ อีกทั้งยังได้รับความเชื่อถือและไว้วางใจจากผู้บังคับบัญชา ทั้งจากหน่วยรบพิเศษซึ่งผมเคยอยู่ ตลอดจนได้ทำหน้าที่ในหน่วยทหารอื่นๆ อีกทั้งยังมีโอกาสได้ทำงานในตำแหน่งต่างๆ ที่มีความสำคัญอีกด้วย นี่ก็ถือเป็นเรื่องราวที่อยากจะเล่าให้ทุกคนได้รับฟังครับ”


สุดท้ายนี้พลเอกสุรยุทธ์ ได้กล่าวเพิ่มเติมถึงโรงเรียนในโอกาสครบรอบ 100 ปี ว่า 

“ผมอยากฝากไว้สองเรื่อง อย่างแรกคือมาตรฐานการศึกษา อยากให้โรงเรียนพิจารณาหลักสูตรให้มีความทันสมัย และใช้เทคโนโลยีเข้ามามีส่วนในการเรียนการสอน เพราะปัจจุบันมีการเปลี่ยนแปลงไปอย่างมาก บางแนวคิดอาจจะให้เด็กได้มีส่วนร่วมและทำงานเป็นกลุ่มมากขึ้น โดยมีครูทำหน้าที่เป็นที่ปรึกษา อีกทั้งโรงเรียนควรจะให้ทั้งความรู้และคุณธรรมควบคู่ไปด้วยก็จะเป็นประโยชน์อย่างมากในด้านการศึกษา เรื่องที่สองคือ ศิษย์เก่าของเซนต์คาเบรียลนั้นล้วนแล้วแต่เป็นบุคคลที่มีศักยภาพ ทั้งในด้านหน้าที่การงาน และความพร้อมในด้านต่างๆ จึงอยากให้ทุกคนได้ช่วยเหลือโรงเรียน ไม่ว่าจะเป็นทางด้านอุปกรณ์การเรียน ทุนทรัพย์ ตลอดจนการเชิญศิษย์เก่าที่ประสบความสำเร็จ และสร้างชื่อเสียงให้โรงเรียน ได้มีโอกาสมาแนะนำเยาวชนรุ่นหลังๆ เพื่อเป็นแบบอย่างในการเตรียมตัว หรือพูดคุยว่าทำอย่างไรให้ประสบความสำเร็จ ซึ่งน่าจะเป็นเรื่องที่ศิษย์เก่าทุกคนสามารถช่วยเหลือโรงเรียนได้”